วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2554

การสร้างเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค


การสร้างเสริมสุขภาพตามความหมายขององค์การอนามัยโลก หมายถึง กระบวนการของการเพิ่มสมรรถนะให้คนสามารถควบคุมปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดสุขภาพ และเป็นผลให้บุคคลนั้นมีสุขภาพที่ดี
การป้องกันโรค หมายถึง การกระทำหรืองดการกระทำบางอย่างเพื่อไม่ให้เกิดการเจ็บป่วยหรือเป็นโรค และไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำอีกการป้องกันโรคแบ่งได้เป็น ดับ ดังนี้ 1. การป้องกันโรคระดับแรก (Primary prevention) หมายถึง การส่งเสริมสุขภาพโดยทั่วไปรวมถึงการปกป้องและต่อต้านการเกิดเฉพาะโรค ได้แก่ การให้สุขศึกษา การรับประทานอาหารเหมาะสมตามวัย การพัฒนาบุคลิกภาพ การทำงาน การพักผ่อน และนันทนาการอย่างเหมาสม การได้รับคำปรึกษากับการแต่งงานและเรื่องเพศ การคัดกรองพันธุกรรม การตรวจสุขภาพ 2. การป้องกันโรคระดับที่สอง (Secondary prevention) หมายถึง การได้รับการวินิจฉัยในระยะแรกของโรคแปละได้รับการรักษาทันท่วงที ความรุนแรงของโรคที่เป็นมีระยะเวลาสั้นสามารถกลับสู่สภาวะของการมีสุขภาพดีได้อย่างรวดเร็ว 3. การป้องกันโรคระดับที่สาม (Tertiary pervention) เป็นระดับที่ไม่เพียงแต่หยุดการดำเนินของโรคเท่านั้น แต่จะต้องป้องกันความเสื่อมสมรรถภาพอย่างสมบูรณ์ จุดประสงค์ก็ คือให้กลับสู่สังคมได้อย่างมีคุณค่า        
ความสำคัญของการสร้างเสริมสุขภาพและการป้องกันโรคในชุมชน    -  ปัจจัยที่ทำให้ชุมชนมีสุขภาพดีมี 3 ประการ ดังนี้    
1.  คน เป็นปัจจัยเกี่ยวข้องกับภาวะสุขภาพของสมาชิก โดยชุมชนที่สมาชิกมีสุขภาพที่ดีนั้น ย่อมส่งผลให้ชุมชนมีสุขภาพที่ดีตามไปด้วย   
 2.  สถานที่ เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมในชุมชน ชุมชนที่มีสิ่งแวดล้อมที่ดีจะช่วยให้สมาชิกมีสุขภาพที่ดี    
3.  ระบบสังคม ได้แก่ ระบบเศรษฐกิจ ระบบการศึกษา ระบบสวัสดิการ    ระบบนันทนาการ ระบบการติดต่อสื่อสาร ระบบศาสนา ระบบการเมือง   ระบบการคมนาคม ระบบกฎหมาย และระบบบริการสุขภาพ โดยชุมที่มีระบบสังคมที่ดีย่อมส่งผลให้ชุมชนมีสุขภาพดี     การสร้างเสริมสุขภาพและการป้องกันโรคในชุมชนเป็นกลยุทธ์สำคัญของการพัฒนาสุขภาพชุมชน ที่ต้องอาศัยความร่วมมือของประชาชนในการ  ดูแลสุขภาพของชุมชนให้อยู่ในสภาวะที่ดี เพื่อการมีสุขภาวะที่สมบูรณ์ของทุกคนในชุมชน        
ภูมิปัญญาไทยกับการสร้างเสริมสุขภาพและการป้องกันโรคในชุมชน     
-ภูมิปัญญาไทย หมายถึง ความรู้ ความสามารถของคนไทยที่เกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ซึ่งได้ผ่านกานพัฒนาและสืบทอดต่อๆกันมา      ความสำคัญของภูมิปัญญาไทยต่อการเสริมสร้างสุขภาพและการป้องกันโรคในชุมชน
     ทุกชุมชนมีวิถีการดำรงชีวิตเป็นของตนเอง และมีสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน ทำให้สมาชิกในชุมชนมีภูมปัญญาที่แตกต่างกันออกไป โดยภูมิปัญญาเหล่านั้นได้ผ่านการลองผิดลองถูก และกลายมาเป็นภูมิปัญญาในการสร้างเสริมสุขภาพ เช่น การรับประทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ หรือ การประคบสมุนไพรรักษาอาการปวดเมื่อยเป็นต้น ดังนั้นภูมิปัญญาไทยจึงมีความสำคัญต่อสุขภาพในเรื่องของการบำบัด บรรเทา รักษาอาการเจ็บป่วย การป้องกันโรค และการเสริมสร้างสุขภาพ    
แนวทางการใช้ภูมิปัญญาไทยเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพและการป้องกันโรคในชุมชน
การแพทย์แผนไทยThai Traditional Medicine ) หมายถึง กระบวนการทางการแพทย์เกี่ยวกับการตรวจ วินิจฉัย บำบัด รักษา การป้องกันโรค หรือการฟื้นฟูสุขภาพการแพทย์แผนไทยสามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับชุมชนของตัวเองได้ เช่นการนวดแผนไทย เป็นภูมิปัญญาในการรักษาโรค การนวดไทยแบ่งออกเป็น 2 แบบ ได้แก่1.  การนวดแบบราชสำนัก2.  การนวดแบบเชลยศักดิ์     การนวดไทยมีผลดีต่อสุขภาพในหลายๆด้าน เช่น การกระตุ้นระบบประสาท  และช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและน้ำเหลือง เป็นต้นกระประคบสมุนไพร เป็นการใช้สมุนไพรในการฟื้นฟูสุขภาพโดยการนำสมุนไพรมาห่อและนำไปประคบบริเวณที่มีอาการปวดเมื่อย จะสามารถช่วยบรรเทาอาการได้น้ำสมุนไพร ผักพื้นบ้านและอาหารเพื่อสุขภาพ น้ำสมุนไพร และอาหารช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตแข็งแรงอยู่ในภาวะปกติ โดยเกิดจากความเฉลียวฉลาดของบรรพบุรุษ เช่น น้ำขิงช่วยในการขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อการทำสมาธิ สวดมนต์ และภาวนาเพื่อการรักษาโรค เป็นวิถีชีวิต และความเชื่อ จัดว่าเป็นภูมิปัญญาทางการแพทย์แผนไทยซึ่งมีผลต่อสภาพจิตใจเป็นอย่างดี เพราะการนั่งสมาธิ สวดมนต์และการภาวนาช่วยให้มีจิตใจที่บริสุทธิ์ และทำให้จิตใจเกิดความสงบกายบริหารแบบไทย หรือกายบริหารท่าฤาษีดัดตน เป็นภูมิปัญญาเกิดขึ้นจากการเล่าต่อๆกันมาของผู้ที่นิยมนั่งสมาธิ เมื่อปฏิบัติอย่างถูกต้องจะช่วยรักษาอาการปวดเมื่อย ทำให้เลือดหมุนเวียนได้ดี สร้างสมาธิ และผ่อนคลายความเครียดได้    
 โรคที่เป็นปัญหาในชุมชนและหลักการป้องกันโรค    -โรคต่างๆที่เกิดขึ้นในชุมชนมักจะส่งผลกระทบต่อผู้คนที่อยู่อาศัยในชุมชน เพราะฉะนั้นความรู้ความเข้าใจในเรื่องโรคต่างๆและหลักการป้องกันจึงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ควรศึกษาและทำความเข้าใจ    
 โรคที่เป็นปัญหาในขุมชน หมายถึง โรคติดต่อหรือโรคไม่ติดต่อที่พบได้บ่อยในชุมชน การที่แต่ละชุมชนมีลักษณะทางสภาพแวดล้อม และมีลักษณะการดำรงชีวิตที่แตกต่างกันออกไป ส่งผลให้โรคที่เป็นปัญหาในชุมชนแตกต่างกันออกไปด้วยเช่นกัน
การป้องกันโรคเป็นการเสริมสร้างสุขภาพของชุมชนโดยทำให้บุคคลในชุมชนมีสุขภาพอนามัยที่สมบูรณ์แข็งแรง มีภูมิคุ้มกันต่อโรคต่าง
    แนวร่วมในชุมชนเพื่อเสริมสร้างสุขภาพและการป้องกันโรค 
  -กลวิธีในการสร้างแนวร่วมให้เกิดขึ้นในชุมชน1.  การมีส่วนร่วมในการกำหนดปัญหาและความต้องการของชุมชน2.   การมีส่วนร่วมในการวางแผน โดยสมาชิกของชุมชนร่วมกันคิดและตัดสินใจ3.  การมีส่วนร่วมในการจัดทำโครงการหรือกิจกรรมสุขภาพ โดยสมาชิกต้องร่วมกันทำกิจกรรมตามขั้นตอนที่ได้กำหนดไว้4.  การมีส่วนร่วมในการประเมินผล5.  การมีส่วนร่วมในการบำรุงรักษาผลประโยชน์ที่ได้รับ โดยสมาขิกต้องนำผลการจัดทำกิจกรรมไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชนการสร้างแนวร่วมของสมาชิกในชุมชนเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการเสริมสร้างสุขภาพและการป้องกันโรคของชุมชน เพราะการทำงานร่วมกันของสมาขิกในชุมชนจะทำให้สิ่งต่างๆดีและง่ายขึ้น นอกจากนี้การสร้างแนวร่วมในชุมชนยังก่อให้เกิดความเข้มแข็งของคนในชุมชนอีกด้วย 

การแพทย์แผนไทย


การแพทย์แผนไทย หรือมักเป็นที่รู้จักกันว่า การแพทย์แผนโบราณ เป็นความพยายามจะอธิบายภาวะต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับสุขภาพ ทั้งสภาวะปกติ และสภาวะที่ผิดปกติ (เป็นโรค) โดยใช้ทฤษฎีความสมดุลของธาตุต่าง ๆ ในร่างกายเข้ามาอธิบาย ผสมผสานองค์ความรู้จากวัฒนธรรมอินเดีย พุทธศาสนา และองค์ความรู้ที่ถูกพัฒนาขึ้นเองโดยครูการแพทย์แผนไทย คือ ชีวกโกมารภัจจ์[ต้องการอ้างอิง]
การแพทย์แผนไทย อาจหมายถึง กระบวนการทางการแพทย์ที่เกี่ยวกับการตรวจ วินิจฉัย บำบัด หรือป้องกันโรค หรือการส่งเสริมและฟื้นฟูสุขภาพของมนุษย์หรือสัตว์ การผดุงครรภ์ การนวดไทย และหมายความรวมถึงการเตรียมการผลิตยาแผนไทย ประดิษฐ์อุปกรณ์ และเครื่องมือทางการแพทย์ โดยอาศัยความรู้หรือตำราที่ได้ถ่ายทอดและสืบต่อกันมา
การแพทย์แผนไทยอาจจะไม่มีองค์ความรู้ด้านกลไกการเกิดโรค และเทคนิคทางศัลยกรรมมากนัก แต่ต้องมีองค์ความรู้ด้านกลวิธีทางคลินิก เช่น การซักประวัติ และการรักษาด้วยยา เพียงแต่ขาดหลักฐานเชิงประจักษ์ทางคลินิก (Evidence-based clinical knowledge) ซึ่งก็มาจากกฎข้อบังคับตามใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะ สาขาการแพทย์แผนไทย ที่ว่า "มิให้แพทย์แผนไทยกระทำการอันเป็นวิทยาศาสตร์ใด ๆ" นั่นเอง ทำให้ไม่สามารถมีการตั้งสมมุติฐานและวิจัยได้อย่างเต็มที่
คัมภีร์แพทย์แผนไทย
  • คัมภีร์ที่เกี่ยวกับสาเหตุของการเกิดโรคโดยทั่วไป
1.       คัมภีร์เวชศึกษา กล่าวถึงสาเหตุการเกิดโรค และ วิธีการตรวจโรคต่างๆ
2.       คัมภีร์สมุฎฐานวินิจฉัย ซึ่งกล่าวถึงถึงสาเหตุการเกิดโรค โดยอาศัยทฤษฎีธาตุในการวินิจฉัยและพยากรณ์โรค
3.       คัมภีร์โรคนิทาน กล่าวถึงสาเหตุของโรค และ ความผิดปกติของธาตุต่างๆ และรสยาต่างๆ
4.       คัมภีร์ธาตุวิภังค์ เช่นเดียวกับคัมภีร์โรคนิทาน แต่มีรายละเอียดแตกต่างกัน และรสยาต่างๆ
5.       คัมภีร์ธาตุวิวรณ์ กล่าวถึงสาเหตุการเกิดโรค โดยอาศัยปัจจัยแวดล้อม และปัจจัยภายใน รวมถึงรสยาต่างๆ
  • คัมภีร์ที่กล่าวถึงไข้
1.       คัมภีร์ฉันศาสตร์ กล่าวถึงไข้ โดยใช้ทฤษฎีธาตุ
2.       คัมภีร์ตักศิลา กล่าวถึงไข้ต่างๆ
  • คัมภีร์ที่เกี่ยวกับโรคในช่องปากและทางเดินอาหาร
1.       คัมภีร์มุขโรค กล่าวถึงโรคในช่องปาก
2.       คัมภีร์ธาตุบรรจบ กล่าวถึงโรคในระบบทางเดินอาหาร โดยพิจารณาจากอุจจาระ และใช้ทฤษฎีธาตุ
3.       คัมภีร์อุทรโรค กล่าวถึงโรคในช่องท้องและท้องเดินอาหาร
4.       คมภีร์อติสาร เช่นเดียวกับคัมภีร์อุทรโรค แต่รายละเอียดแตกต่างกัน
  • คัมภีร์ที่เกี่ยวกับโรคสตรี และการตั้งครรภ์
1.       คัมภีร์ปฐมจินดา กล่าวถึง การปฏิสนธิและการตั้งครรภ์ ลักษณะสตรีต่างๆ โรคในเด็กแรกเกิด
2.       คัมภีร์มหาโชติรัตน์ กล่าวถึงโรคสตรี
  • คัมภีร์ที่กล่าวถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และทางเดินปัสสาวะ
1.       คัมภีร์มุจฉาปักขันทิกา
  • คัมภีร์ที่เกี่ยวกับโรคลม
1.       คัมภีร์ชวดาร กล่าวเกี่ยวกับโรคทางเดินปัสสาวะ หัวใจ และไต ซึ่งอธิบายโดยทฤษฎีลม
2.       คัมภีร์มัญชุสาระวิเชียร อธิบายที่ตั้งและการเรียกชื่อโรคของ โรคลม
  • คัมภีร์ที่เกี่ยวกับความเจ็บป่วยเรื้อรัง
1.       คัมภีร์กษัย
  • คัมภีร์ที่เกี่ยวกับโรคที่เกิดขึ้นที่เยื่อบุผิว
1.       คัมภีร์ทิพยมาลา เกี่ยวกับฝีภายในร่างกาย
2.       คัมภีร์ไพจิตร์มหาวงศ์ กล่าวเกี่ยวกับฝี
  • คัมภีร์ที่เกี่ยวกับโรคตา
1.       คัมภีร์อภัยสันตา

ภูมิปัญญาไทย


ภูมิปัญญาไทย ตรงกับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Wisdom หมายถึง ความรู้ความสามารถ วิธีการผลงานที่คนไทยได้ค้นคว้า รวบรวม และจัดเป็นความรู้ ถ่ายทอด ปรับปรุง จากคนรุ่นหนึ่งมาสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง จนเกิดผลิตผลที่ดี งดงาม มีคุณค่า มีประโยชน์ สามารถนำมาแก้ปัญหาและพัฒนาวิถีชีวิตได้แต่ละหมู่บ้าน แต่ละชุมชนไทย ล้วนมีการทำมาหากินที่สอดคล้องกับภูมิประเทศ มีผู้นำที่มีความรู้ มีฝีมือทางช่าง สามารถคิดประดิษฐ์ ตัดสินใจแก้ปัญหาของชาวบ้านได้ ผู้นำเหล่านี้ เรียกว่า ปราชญ์ชาวบ้าน หรือผู้ทรงภูมิปัญญาไทย

ลักษณะของภูมิปัญญาไทย
1. ภูมิปัญญาไทยมีลักษณะเป็นทั้งความรู้ ทักษะ ความเชื่อ และพฤติกรรม
2. ภูมิปัญญาไทยแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน คนกับธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ
3. ภูมิปัญญาไทยเป็นองค์รวมหรือกิจกรรมทุกอย่างในวิถีชีวิตของคน
4. ภูมิปัญญาไทยเป็นเรื่องของการแก้ปัญหา การจัดการ การปรับตัว และการเรียนรู้ เพื่อความอยู่รอดของบุคคล ชุมชน และสังคม
5. ภูมิปัญญาไทยเป็นพื้นฐานสำคัญในการมองชีวิต เป็นพื้นฐานความรู้ในเรื่องต่างๆ
6. ภูมิปัญญาไทยมีลักษณะเฉพาะ หรือมีเอกลักษณ์ในตัวเอง
7. ภูมิปัญญาไทยมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อการปรับสมดุลในพัฒนาการทางสังคม
ลักษณะความสัมพันธ์ของภูมิปัญญาไทยเป็นอย่างไร
ภูมิปัญญาไทยสามารถสะท้อนออกมาใน 3 ลักษณะที่สัมพันธ์ใกล้ชิดกัน คือ
1. ความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกันระหว่างคนกับโลก สิ่งแวดล้อม สัตว์ พืช และธรรมชาติ
2. ความสัมพันธ์ของคนกับคนอื่นๆ ที่อยู่ร่วมกันในสังคม หรือในชุมชน
3. ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์สิ่งเหนือธรรมชาติ ตลอดทั้งสิ่งที่ไม่สามารถสัมผัสได้ทั้งหลาย
ทั้ง 3 ลักษณะนี้ คือ สามมิติของเรื่องเดียวกัน หมายถึง ชีวิตชุมชน สะท้อนออกมาถึงภูมิปัญญาในการดำเนินชีวิตอย่างมีเอกภาพ เหมือนสามมุมของรูปสามเหลี่ยม ภูมิปัญญาจึงเป็นรากฐานในการดำเนินชีวิตของคนไทย

คุณค่าของภูมิปัญญาไทย
        ทางด้านการสร้างความภาคภูมิใจและศักดิ์ศรี เกียรติภูมิแก่คนไทย
        คนไทยในอดีตที่มีความสามารถปรากฏในประวัติศาสตร์มีมาก เป็นที่ยอมรับของนานาอารยประเทศ เช่น นายขนมต้มเป็นนักมวยไทยที่มีฝีมือเก่งในการใช้อวัยวะทุกส่วน ทุกท่าของแม้ไม้มวยไทย สามารถชกมวยไทย จนชนะพม่าได้ถึงเก้าคนสิบคนในคราวเดียวกัน แม้ในปัจจุบันมวยไทยก็ยังถือว่า เป็นศิลปะชั้นเยี่ยม เป็นที่นิยมฝึก และแข่งขันในหมู่คนไทยและชาวต่างประเทศ ปัจจุบันมีค่ายมวยไทยทั่วโลกไม่ต่ำกว่า 30,000 แห่ง ชาวต่างประเทศที่ได้ฝึกมวยไทยจะรู้สึกยินดีและภาคภูมิใจ ในการที่จะใช้กติกาของมวยไทย เช่น การไหว้ครูมวยไทย การออกคำสั่งในการชกเป็นภาษาไทยทุกคำ เช่น คำว่า "ชก" "นับหนึ่งถึงสิบ" เป็นต้น ถือเป็นมรดกภูมิปัญญาไทย นอกจากนี้ ภูมิปัญญาไทยที่โดดเด่นยังมีอีกมากมาย เช่น มรดกภูมิปัญญาทางภาษาและวรรณกรรม โดยที่มีอักษรไทยเป็นของตนเองมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย และวิวัฒนาการมาจนถึงปัจจุบัน วรรณกรรมไทยถือว่าเป็น วรรณกรรมที่มีความไพเราะ ได้อรรถรสครบทุกด้าน วรรณกรรม หลายเรื่องได้รับการแปลเป็นภาษาต่างประเทศหลายภาษา ด้านอาหาร อาหารไทยเป็นอาหารที่ปรุงง่าย พืชที่ใช้ประกอบอาหารส่วนใหญ่เป็นพืชสมุนไพร ที่หาได้ง่ายในท้องถิ่นและราคาถูก มีคุณค่าทางโภชนาการ และยังป้องกันโรคได้หลายโรค เพราะส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นพืชสมุนไพร เช่น ตะไคร้ ขิง ข่า กระชาย ใบมะกรูด ใบโหระพา ใบกะเพรา เป็นต้น

ยาไทย ภูมิปัญญาไทย
        การแพทย์แผนไทย เป็นการรวมศาสตร์เกี่ยวกับบำบัดโรค ทั้งการใช้ยาสมุนไพร หัตถบำบัด การรักษากระดูกและโครงสร้าง โดยอิงกับความ เชื่อทางสังคม วัฒนธรรม และธรรมชาติ เป็นความรู้ที่ไม่มีเกณฑ์ตายตัว ขึ้นอยู่กับหมอรักษาวิธีใดได้ผลก็ใช้วิธีนั้นสืบต่อกันมา
        ยาไทยมาจากส่วนผสม 4 ประเภท คือ พืชวัตถุ สัตว์วัตถุ ธาตุวัตถุ เช่น เกลือสมุทร กำมะถัน ทองคำ ดินปะสิว และจุลชีพ เช่น เห็ด รา โดยแพทย์หรือผู้จ่ายยาต้องรู้ลักษณะ สี กลิ่น รส ชื่อของสิ่งที่นำมาใช้ ประเภทและอาการของโรคอย่างดีก่อนจึงจะนำมาใช้ได้ นอกจากนี้วิธีการปรุงยาก็มีหลายวิธีด้วยกันตามรูปแบบของยา เช่น กิน อาบ ดื่ม พอก หรือแช่ เป็นต้น

วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

โครงการสร้างเสริมสุขภาพในชุมชนและสังคม

โครงการสร้างเสริมสุขภาพในชุมชนและสังคม

ชื่อโครงการ :               ฟุตซอลสามัคคี สุขภาพดีร่างกายแข็งแรง
หลักการและเหตุผล :   กีฬาเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างความสามัคคีและสร้างสุขภาพที่ดีให้กับเรา และยังช่วยให้เรารู้สึกร่าเริงแจ่มใส ฝึกสมาธิ สติ เป็นการเสริงสร้างสุขภาพที่ดี การจัดทำโครงการแข่งขันกีฬาจึงเป็นอีกโครงการหนึ่งที่สร้างประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม
วัตถุประสงค์ :             - เพื่อเสริมสร้างสุขภาพกาย สุขภาพจิต สุขภาวะทางสังคม และ สุขภาวะทาง ปัญญา ให้กับเยาวชน และบุคคลในชุมชน
                                    - เพื่อให้เยาวชนรู้จักใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ สานสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชน
กลุ่มเป้าหมาย :            นักเรียน, กลุ่มเยาวชนและคนในชุมชน รอบข้างโรงเรียน
วิธีดำเนินการ :             จัดการแข่งขันฟุลซอลภายในขึ้น ให้นักเรียนที่สนใจ มาร่วมแข่งขัน และเปิดให้เยาวชนและคนในชุมชนรอบข้างโรงเรียนที่สนใจ มาร่วมแข่งขันกัน โดยสามารถจัดทีมได้โดยอิสระ
ระยะเวลาดำเนินการ :  เปิดรับสมัคร 25 กรกฎาคม 2554 ถึง 29 กรกฎาคม 2554
                                    เริ่มแข่งขัน 2 สิงหาคม 2554 ถึง 16 สิงหาคม 2554
สถานที่ดำเนินการ :     โรงเรียนมัธยมวัดนายโรง
งบประมาณ :               20,000 บาท
ผลที่คาดว่าจะได้รับ :  - นักเรียนและคนในชุมชนให้ความสนใจมาร่วมโครงการ
- ผู้ที่ร่วมโครงการได้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
- สร้างความสามัคคี ให้ความสนุกสนาน และสร้างเสริมสุขภาพ ให้แก่ผู้ร่วมโครงการได้
ผู้รับผิดชอบโครงการ : นางสาวภัทรศยา รัตนะวงศ์กุล

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

มารยาทในการเต้นลีลาศ

มารยาททางสังคมในการลีลาศ ที่ควรทราบมีดังนี้

การเตรียมตัว
1. อาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด กำจัดกลิ่นต่าง ๆ ที่น่ารังเกียจ เช่น กลิ่นปาก กลิ่นตัว เป็นต้น
2. แต่งกายให้สะอาด ถูกต้อง และเหมาะสมตามกาละเทศะ ซึ่งจะเป็นหารสร้างความมั่นใจในบุคลิกภาพของตนเอง
3. ควรใช้เครื่องสำอางที่มีกลิ่นไม่รุนแรงจนสร้างความรำคาญให้กับผู้ที่อยู่ใกล้ชิด หรือกับคู่ลีลาศของตน
4. มีการเตรียมตัวล่วงหน้าโดยการฝึกซ้อมลีลาศในจังหวะต่าง ๆ เพื่อสร้างความมั่นใจในการลีลาศ
5. สุภาพบุรุษจะต้องให้เกียรติสุภาพสตรีและบุคคลอื่นในทุกสถานการณ์ และจะต้องไปรับสุภาพสตรีที่ตนเชิญไปร่วมงาน
6. ไปถึงบริเวณงานให้ตรงตามเวลาที่ระบุได้ในบัตรเชิญ

ก่อนออกลีลาศ
1. พยายามทำตัวให้เป็นกันเอง และสร้างความสนิทสนมคุ้นเคยกับเพื่อนใหม่ แนะนำเพื่อน
หญิงของตนให้บุคคลอื่นรู้จัก (ถ้ามี)
2. ไม่ดื่มสุรามากจนครองสติไม่อยู่ ถ้ารู้สึกตัวว่าเมามาก ไม่ควรเชิญสุภาพสตรีออกลีลาศ
3. ไม่ควรเชิญสุภาพสตรีที่ไม่รู้จักออกลีลาศ ยกเว้นจะได้รับการแนะนำให้รู้จักกันเสียก่อน
4. สุภาพบุรุษควรแน่ใจว่าสุภาพสตรีที่ตนเชิญออกลีลาศ สามารถลีลาศจังหวะนั้น ๆ ได้หากไม่แน่ใจควรสอบถามก่อน
5. สุภาพบุรุษควรเชิญสุภาพสตรีออกลีลาศด้วยกริยาที่สุภาพ ถ้าถูกปฏิเสธก็ไม่ควรเซ้าซี้จนเป็นที่น่ารำคาญ
6. สุภาพสตรี ไม่ควรปฏิเสธเมื่อมีสุภาพบุรุษมาขอลีลาศด้วย หากจำเป็นจะต้องปฏิเสธด้วยเหตุผลใดก็ตาม จะต้องปฏิเสธด้วยถ้อยคำที่สุภาพนุ่มนวล และไม่ควรลีลาศกับสุภาพบุรุษอื่นในจังหวะที่ตนได้ปฏิเสธไปแล้ว
7. ถ้าในกลุ่มสุภาพสตรีที่นั่งอยู่มีบุคคลอื่นหรือสุภาพบุรุษอื่นนั่งอยู่ด้วย จะต้องกล่าวคำขออนุญาตจากบุคคลเหล่านั้นก่อนที่จะเชิญสุภาพสตรีออกลีลาศ
8. ก่อนออกลีลาศควรฟังจังหวะให้ออกเสียก่อน และแน่ใจว่าสามารถลีลาศในจังหวะนั้นได้
9. ไม่ควรออกลีลาศกับคู่เพศเดียวกัน

ขณะลีลาศ
1. ขณะที่พาสุภาพตรีไปที่ฟลอร์ลีลาศ สุภาพบุรุษควรเดินนำหน้า หรือเดินเคียงคู่กันไป เพื่อให้ความสะดวกแก่สุภาพสตรี และเมื่อไปถึงฟลอร์ลีลาศ ควรให้เกียรติสุภาพสตรีเดินขึ้นไปบนฟลอร์ลีลาศก่อน
2. ในการจับคู่ สุภาพบุรุษต้องกระทำด้วยความนุ่มนวลสุภาพ และถูกต้องตามแบบแผนของการลีลาศ ไม่ควรจับคู่ในลักษณะที่รัดแน่นจนเกินไป การแสดงออกที่น่าเกลียดบางอย่างพึงละเว้น เช่น การเอารัดเอาเปรียบคู่ลีลาศ เป็นต้น

3. จะต้องลีลาศไปตามจังหวะ แบบแผน และทิศทางที่ถูกต้องไม่ย้อนแนวลีลาศ เพราะจะเป็นอุปสรรคกีดขวางการลีลาศของคู่อื่น ถ้ามีการชนกันเกิดขึ้นในขณะลีลาศ จะต้องกล่าวคำขอโทษหรือขออภัยด้วยทุกครั้ง
4. ไม่สูบบุหรี่ เคี้ยวหมากฝรั่ง หรือของขบเคี้ยวใด ๆ ในขณะลีลาศ
5. ให้ความสนใจกับคู่ลีลาศของตน ความอบอุ่นเกิดขึ้นได้จากการยิ้มแย้มแจ่มใสหรือคำกล่าวชม ไม่แสดงอาการเบื่อหน่ายหรือหันไปสนใจคู่ลีลาศของคนอื่น และอย่าทำตนเป็นผู้กว้างขวางช่างพูดช่างคุยกับคนทั่วไปในขณะลีลาศ
6. ควรลีลาศด้วยความสนุกสนานร่าเริง
7. ไม่ควรพูดเรื่องปมด้อยของตนเองหรือของคู่ลีลาศ
8. ไม่ควรเปลี่ยนคู่บนฟลอร์ลีลาศ
9. ควรลีลาศในรูปแบบหรือลวดลายที่ง่าย ๆ ก่อน แล้วจึงเพิ่มรูปแบบหรือลวดลายที่ยากขึ้นตามความสามารถของคู่ลีลาศ เพราะจะทำให้คู่ลีลาศรู้สึกเบื่อหน่าย และไม่ควรพลิกแพลงรูปแบบการลีลาศมากเกินไปจนมองดูน่าเกลียด
10. ถือว่าเป็นการไม่สมควรที่จะร้องเพลงหรือแสดงออกอย่างอื่นในขณะลีลาศ หรือลีลาศด้วยท่าทางแผลง ๆ ด้วยความคึกคะนอง
11. ไม่ควรสอนลวดลายหรือจังหวะใหม่ ๆ บนฟลอร์ลีลาศ
12. ไม่ควรลีลาศด้วยลวดลายที่ใช้เนื้อที่มากเกินไป ในขณะที่มีคนอยู่บนฟลอร์เป็นจำนวนมาก
13. ในการลีลาศแบบสุภาพชน ไม่ควรแสดงความรักในขณะลีลาศ
14. การนำในการลีลาศเป็นหน้าที่ของสุภาพบุรุษ สุภาพสตรีไม่ควรเป็นฝ่ายนำ ยกเว้นเป็นการช่วยในความผิดพลาดของสุภาพบุรุษ เป็นครั้งคราวเท่านั้น
15. การให้กำลังใจ การให้เกียรติ และการยกย่องชมเชยด้วยใจจริง จะช่วยให้คู่ลีลาศเกิดความรู้สึกอบอุ่นและเชื่อมั่นในตนเองยิ่งขึ้น คู่ลีลาศที่ดี จะต้องช่วยปกปิดความลับหรือปัญหาที่เกิดขึ้นและมองข้ามจุดอ่อนของคู่ลีลาศ
16. ไม่ควรผละออกจากคู่ลีลาศโดยกระทันหัน หรือก่อนเพลงจบ

เมื่อสิ้นสุดการลีลาศ
1. สุภาพบุรุษต้องเดินนำหรือเดินเคียงคู่กันลงจากฟลอร์ลีลาศ และนำสุภาพสตรีไปส่งยังที่นั่งให้เรียบร้อย พร้อมทั้งกล่าวคำขอบคุณสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษอื่นที่นั่งอยู่ด้วย
2. เมื่อถึงเวลากลับ ควรกล่าวคำชมเชยและขอบคุณเจ้าภาพ (ถ้ามี)
3. สุภาพบุรุษจะต้องพาสุภาพสตรีที่ตนเชิญเข้างาน ไปส่งยังที่พัก

วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

บทที่ 1

กระบวนการสร้างเสริม และ ดำรงประสิทธิภาพการทำงานของระบบประสาท ระบบสืบพันธุ์ และระบบต่อมไร้ท่อ
อวัยวะทุกส่วนในร่างกายของคนเราทำงานกันอย่างเป็นระบบ ทุกระบบต่างมีความสำคัญต่อร่างกายทั้งสิ้น เราจึงควรรักษาสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรงอยู่เสมอ
ระบบประสาท ระบบสืบพันธุ์ และ ระบบต่อมไร้ท่อ ต่างมีความสำคัญต่อร่างกาย โดยระบบประสาทจะควบคุมและรับความรู้สึก ช่วยให้ร่างกายทำงานได้ตามต้องการ ระบบสืบพันธุ์ช่วยในการสืบทอดเผ่าพันธุ์ให้คงอยู่ และระบบต่อมไร้ท่อทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนเพื่อควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ 

ความสำคัญและหลักการของกระบวนการสร้างเสริม และ ดำรงประสิทธิภาพการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย
                ระบบต่างๆในร่างกายต้องพึ่งพาและทำงานร่วมกัน ระบบทุกระบบในร่างกายต้องทำงานสัมพันธ์กันหากมีอวัยวะหรือระบบใดทำงานผิดปกติ ก็จะส่งผลต่อระบบอื่นๆ ด้วย เราจึงต้องรักษาสุขภาพร่างกายของเราให้แข็งแรงอยู่เสมอ เพื่อประสิทธิภาพการทำงานที่ดีของร่างกาย
            หลักการของกระบวนการสร้างเสริมและดำรงประสิทธิภาพการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย มีแนวปฏิบัติดังนี้
1.       รักษาอนามัยส่วนบุคคล ได้แก่การรักษาความสะอาดของร่างกายเพื่อป้องกันโรคภัย
        และเสริมสร้างบุคลิกภาพให้ดีขึ้น
2.       บริโภคอาหารให้ถูกต้องและเหมาะสม รับประทานอาหารให้ครบหมู่ ในปริมาณที่เหมาะ ดื่มน้ำสะอาดเป็นประจำ
3.       ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค
4.       พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อเป็นการผ่อนคลายความเครียดความเหนื่อยล้าทางกายและจิตใจ
5.       ทำจิตใจให้ร่างเริงแจ่มใส
6.       หลีกเลี่ยงอบายมุขและสิ่งเสพติดให้โทษ
7.       ตรวจเช็คร่างกาย พบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละครั้ง ชั่งน้ำหนัก ตรวจวัดความดัน



ระบบประสาท
                คือ ระบบที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานและรับความรู้สึกของอวัยวะทุกส่วน 
                ประกอบไปด้วย สมอง ไขสันหลัง และเส้นประสาท
                ระบบประสาทของคนเราแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ

1.ระบบประสาทส่วนกลาง (Central nervous system) ประกอบด้วยสมองและไขสันหลัง

สมอง
        บรรจุอยู่ภายในกระโหลกศรีษะ แบ่งออกเป็น 2 ชั้น ชั้นนอกมีสีเทาเรียกว่า เกรย์ แมตเตอร์ เป็นที่รวมของเซลล์ประสาท และ แอกซอน ชนิดที่ไม่มีเยื่อหุ้ม ส่วนชั้นในมีสีขาว เรียกว่า ไวท์ แมตเตอร์ เป็นส่วนของใยประสาทที่ออกจากเซลล์ประสาทสมองแบ่งออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ คือ




1.สมองส่วนหน้า (Forebrain) ประกอบด้วย
- ซีรีบรัม (Cerebrum) เป็นสมองส่วนหน้าสุด ทำหน้าที่เกี่ยวกับ ความจำ, ความนึกคิด, ควมคุมการทำงานของร่างกายที่อยู่ใต้อำนาจจิตใจ
        - ทาลามัส (Thalamus) ทำหน้าที่ถ่ายทอดกระแสประสาทไปยังสมอง
- ไฮโพทาลามัส (Hypothalamus) ทำหน้าที่ความคุมอุณหภูมิร่างกาย กานเต้นของหัวใจ ความดันเลือด อารมณ์และความรู้สึกต่างๆ
2.สมองส่วนกลาง (Midbrain) ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของลูกตาและม่านตา
3.สมองส่วนท้าย (Hindbrain) ประกอบด้วย
- ซีรีเบลลัม (Cerebellum) ทำหน้าที่ดูแลการทำงานในส่วนต่างๆของร่างกาย และ ระบบกล้ามเนื้อต่างๆ เป็นตัวรับกระแสประสาทจากอวัยวะควมคุมการทรงตัว ควบคุมการทรงตัวของร่างกาย
- พอนส์ (pons) ทำหน้าที่ควบคุมการเคี้ยวอาหาร การหลั่งน้ำลาย การหายใจ การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้า
- เมดัลลา ออบลองกาตา (Medulla oblongata) ทำหน้าที่ควมคุมระบบประสาทอัตโนมัติ เช่น การไอ การจาม ตอนปลายของสมองส่วนนี้ต่อกับไขสันหลัง จึงเป็นทางผ่านของกระแสประสาท

ไขสันหลัง
        เป็นส่วนที่ต่อจากสมองลงไปตามแนวช่องกระดูสันหลัง ไขสันหลังจะมีเยื่อหุ้มอยู่ 3 ชั้น และมีของเหลวบรรจุอยู่ในเยื่อหุ้ม ไขสันหลังทำหน้าที่รับกระแสประสาทจากส่วนต่างๆ ของร่างกายส่งต่อไปยังสมอง และรับกระแสตอบสนองจากสมองส่งไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย และยังควบคุมปฏิกิริยารีเฟลกซ์ โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากสมอง
            
                  2.ระบบประสาทส่วนปลาย (Peripheral nervous system) ประกอบด้วย
1.เส้นประสาทสมอง มีอยู่ 12 คู่ ทอดมาจากสมองเข้าไปเลี้ยงบริเวณศีรษะและลำคอ
2.เส้นประสาทไขสัน มีอยู่ 31 คู่ ออกจากไขสันหลังเป็นหลังเป็นช่วงๆ ไปสู่ร่าง แขน และขา
3.ประสาทระบบอัตโนมัติ เป็นระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะที่อยู่นอกอำนาจของจิตใจ

การทำงานของระบบประสาท
                การทำงานของระบบประสาทจะทำงานประสานกับระบบกล้ามเนื้อ เราสามารถเคลื่อนไหวร่างกายและทำกิจกรรมหลายๆอย่างในเวลาเดียวกันได้ เพราะมีกระแสประสาทแยกการทำงานหลากหลายโดยใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที และมีการประสานงานกันอย่างดีกับกล้ามเนื้อ

การบำรุงรักษาระบบประสาท
                1.ระวังไม่ให้เกิดการกระทบกระเทือนบริเวณศีรษะ
                2.ป้องกันไม่ให้เกิดโรคทางสมอง
                3.หลีกเลี่ยงยาเสพติด เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และยาที่มีผลต่อสมอง
                4.ผ่อนคลายความเครียด
                5.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์



ระบบสืบพันธุ์
            เป็นระบบที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มจำนวนของสิ่งมีชีวิต เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์

            อวัยวะสืบพันธุ์เพศชาย


            อวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง



การบำรุงรักษาระบบสืบพันธุ์
            1.ดูและร่างกายให้แข็งแรง
            2.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
            3.งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
            4.พักผ่อนให้เพียงพอ
            5.ทำความสะอาดร่างกายอย่างทั่วถึง
            6.สวมเสื้อผ้าที่สะอาด ไม่อับชื้น ไม่รัดแน่่น
            7.ไม่ใช้เครื่องนุ่งห่มร่วมกับผู้อื่น
            8.ไม่สำส่อนทางเพศ
            9.เมื่อเกิดความผิดปกติเกี่ยวกับอวัยวะเพศควรรีบปรึกษาแพทย์



ระบบต่อมไร้ท่อ
            เป็นระบบที่ผลิตสารที่เรียกว่า ฮอรโทน เป็นต่อมที่ไม่มีท่อและรูเปิด จึงลำเลียงสารเหล่านั้นไปตามกระแสเลือด ฮอร์โมนจะทำหน้าที่ร่วมกับระบบประสาท ถ้าปริมาณฮอร์โมนมากหรือน้อยเกินไปอาจทำให่เกิดโรคต่างๆ เช่น เบาหวาน คอพอก โรคที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตต่อมไร้ท่อในร่างกาย



                1.ต่อมใต้สมอง ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนควบคุมการเจริญเติบโตของร่างกายและกระดูก,ทำให้ความดันเลือด             สูง,ปัสสาวะปกติ,และการบีบตัวของมดลูก
                2.ต่อมหมวกไต ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนอะดรีนาลิน และ ฮอร์โมนควบคุมการเผาผลาญอาหาร
                3.ต่อมไทรอยด์ ทำหน้าที่หลั่ง ไทรอกซิก ซึ่งมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย
                4.ต่อมพาราไทรอยด์  ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนที่ควบคุมระดับแคมเซียมในเลือดและความเป็นกรดเป็นด่าง
                5.ต่อมในตับอ่อน ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมปริมาณน้ำตาลในร่างกาย
                6.รังไข่ในเพศหญิงและอัณฑะในเพศชาย รังไข่ทำหน้าที่ผลิตไข่และสร้างฮอร์โมนเอสโทรเจนกับโพรเจสเทอโรน ส่วนอัณฑะทำหน้าที่สร้างตัวอสุจิและสร้างฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน
                7.ต่อมไทมัส ทำหน้าที่ควมคุมระบบภูมิคุ้มกัน ในช่วงแรกเกิดจะมีขนาดใหญ่และจะค่อยๆเล็กลงเมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่

การบำรุงรักษาระบบต่อมไร้ท่อ
                1.ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
                2.ดื่มน้ำให้เพียงพอ
                3.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
                4.ลดการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
                5.หลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมที่ส่งผลต่อระบบต่อมไร้ท่อ 
                6.พักผ่อนให้เพียงพอ